Why were we born?
กว่าจะรู้ว่าตัวเรา เกิดมาทำไม ก็เกือบสายไปเสียแล้ว เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า..จริงๆแล้ว..เราเกิดมาเพื่ออะไร?
(Wichi Phank)
หลวงพ่อตอบปัญหา
คำถาม: คนเราเกิดมาทำไมกันครับหลวงพ่อ
กว่าจะรู้ว่าตัวเรา เกิดมาทำไม ก็เกือบสายไปเสียแล้ว เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า..จริงๆแล้ว..เราเกิดมาเพื่ออะไร?
(Wichi Phank)
หลวงพ่อตอบปัญหา
คำถาม: คนเราเกิดมาทำไมกันครับหลวงพ่อ
คำตอบ: ก่อนอื่นคุณควรเข้าใจให้ถูกในเรื่องโลกและชีวิต เสียก่อนว่า
๑. คนเราตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วยังต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน ตราบใดยังปราบกิเลสในตัวไม่หมด ก็ยังต้องเกิด
๒. กรรมดีกรรมชั่ว ทำแล้วมีผลแน่นอน และจะส่งผลทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ไม่หายไปไหน
๓. นรก สวรรค์มีอยู่จริง เมื่อทำความเข้าใจถูกต้องถึงจุดนี้แล้ว เรื่องแรกที่เราควรนึกถึงก็คือ ทำอย่างไรจึงจะปิดนรกให้ตัวเองได้ หรือมีทางใดบ้างที่เมื่อตายไปแล้ว จะทำให้ไม่ตกนรกและมีแต่สุคติเป็นที่ไป
คุณถามว่าคนเราเกิดมาทำไม ตอบแบบรวบรัดว่าคนเราเกิดมาเพื่อพัฒนาตนเอง เพื่อยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น และเพื่อสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ เมื่อบุญบารมีเต็มส่วนแล้วก็จะสามารถปราบกิเลสในตัวได้หมด พ้นจากทุกข์อย่างถาวร เข้านิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด เป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ แต่คนเราโดยมากนักจะไม่ค่อยรู้กัน
คุณเองก็เช่นกัน ในขณะนี้คุณยังไม่ได้บวช ยังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ดูแลครอบครัวอยู่ จึงจำเป็นจะต้องมีแนวทาง หรือหลักในการดำรงชีวิตอยู่ในโลก ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการ ดังนี้
๑. มีสัจจะ คือ ต้องเป็นคนจริง คนตรง ซื่อสัตย์ คนส่วนมากในสังคมปัจจุบันมีนิสัยชอบโกหก พูดไม่จริง พูดเหลาะแหละเอาตัวรอดไปวันๆ จนไม่น่าเชื่อถือ เราต้องไม่เป็นคนอย่างนั้น ต้องเป็นคคนตรงและจริงต่อหน้าที่ จริงต่อการงาน ตรงต่อเวลา จริงใจและซื่อสัตย์ต่อบุคคลอื่น และจริงต่อหลักธรรม ตลอดจนคุณความดีต่างๆ ความไม่เหลาะแหละ เหลวไหลจะช่วยลดความหวาดระแวงของผู้อื่นลงได้ ทำให้เราเป็นคนมีเครดิต มีความน่าเชื่อถือ เป็นผู้เดินอยู่บนหนทางแห่งเกียรติยศตลอดชีวิต
๒. ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ด้านการงานอาชีพต้องฝึกฝีมือให้พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จากคนธรรมดาที่ช่วยตนเองได้ เลี้ยงตัวรอด เป็นคนมีฝีมือเชี่ยวชาญ เฉลียวฉลาด ทันโลกทันคน รวมทั้งสามารถหยุดตนเองไม่ให้ถลำลงสู่ความชั่วได้ และเมื่อกิเลสกำเริบ ก็ให้สามารถข่มใจตนเองได้ ไม่ทำอะไรที่ไม่สมควร นี้คือหนแห่งปัญญา
๓. มีความอดทน อดกลั้น ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าตนเหตุจะมาจากเหตุภายนอกหรือภายใน กล่าวคือสามารถทนต่อความลำบากตรากตรำจากสายลมและแสงแดด ทนร้อนทนหนาว ทนต่อความเหนื่อยเมื่อยล้า เจ็บปวด ทนต่อการกระทบกระทั่งเจ็บใจจากคนอื่นได้
แม้ในที่สุดทนต่อความยั่วเย้ายวนอารมณ์จากกิเลสในใจเราได้ใครที่ทนต่อสิ่ง เหล่านี้ได้ ย่อมเป็นคนแข็งแกร่ง บุคลิกสง่างาม ทำการงานใหญ่ให้สำเร็จได้ นี้เป็นหนทางของการได้ทรัพย์
๔. สามารถสละอารมณ์บูดเน่า สละความตระหนี่ออกจากใจได้ เป็นคนมีอารมณ์แจ่มใสเป็นปกติ มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นเป็นนิจ เป็นที่รักของมหาชน ผู้ที่ปฏิบัตืตนได้อย่างนี้ จะทำให้มีผู้อื่ช่วยเหลือกิจการของมหาชน ผู้ที่ปฏิบัติตนได้อย่างนี้ จะทำให้มีผู้อื่นช่วยเหลือกิจการ และคอยป้องกันเหตุเภทภัยต่างๆ ให้ นี้เป็นหนทางการได้มิตร
หากผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติตามหลัก ๔ ประการนี้ได้แล้วก็จะไม่สงสัยตัวเองอีกต่อไปว่าเกิดมาทำไมรู้แต่ว่าชีวิตมี ค่า คือทำประโยชน์ได้ และแม้จะไม่รู้ว่าเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตมนุษย์คืออะไรถึงเวลาก็จะบรรลุถึง เป้านั้นเอง เพราะได้เดินเข้ามาตามเส้นทางที่ถูกต้องนี้แล้วตามลำดับ
(หลวงพ่อทัตตะชีโว)
๑. คนเราตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วยังต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน ตราบใดยังปราบกิเลสในตัวไม่หมด ก็ยังต้องเกิด
๒. กรรมดีกรรมชั่ว ทำแล้วมีผลแน่นอน และจะส่งผลทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ไม่หายไปไหน
๓. นรก สวรรค์มีอยู่จริง เมื่อทำความเข้าใจถูกต้องถึงจุดนี้แล้ว เรื่องแรกที่เราควรนึกถึงก็คือ ทำอย่างไรจึงจะปิดนรกให้ตัวเองได้ หรือมีทางใดบ้างที่เมื่อตายไปแล้ว จะทำให้ไม่ตกนรกและมีแต่สุคติเป็นที่ไป
คุณถามว่าคนเราเกิดมาทำไม ตอบแบบรวบรัดว่าคนเราเกิดมาเพื่อพัฒนาตนเอง เพื่อยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น และเพื่อสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ เมื่อบุญบารมีเต็มส่วนแล้วก็จะสามารถปราบกิเลสในตัวได้หมด พ้นจากทุกข์อย่างถาวร เข้านิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด เป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ แต่คนเราโดยมากนักจะไม่ค่อยรู้กัน
คุณเองก็เช่นกัน ในขณะนี้คุณยังไม่ได้บวช ยังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ดูแลครอบครัวอยู่ จึงจำเป็นจะต้องมีแนวทาง หรือหลักในการดำรงชีวิตอยู่ในโลก ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการ ดังนี้
๑. มีสัจจะ คือ ต้องเป็นคนจริง คนตรง ซื่อสัตย์ คนส่วนมากในสังคมปัจจุบันมีนิสัยชอบโกหก พูดไม่จริง พูดเหลาะแหละเอาตัวรอดไปวันๆ จนไม่น่าเชื่อถือ เราต้องไม่เป็นคนอย่างนั้น ต้องเป็นคคนตรงและจริงต่อหน้าที่ จริงต่อการงาน ตรงต่อเวลา จริงใจและซื่อสัตย์ต่อบุคคลอื่น และจริงต่อหลักธรรม ตลอดจนคุณความดีต่างๆ ความไม่เหลาะแหละ เหลวไหลจะช่วยลดความหวาดระแวงของผู้อื่นลงได้ ทำให้เราเป็นคนมีเครดิต มีความน่าเชื่อถือ เป็นผู้เดินอยู่บนหนทางแห่งเกียรติยศตลอดชีวิต
๒. ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ด้านการงานอาชีพต้องฝึกฝีมือให้พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จากคนธรรมดาที่ช่วยตนเองได้ เลี้ยงตัวรอด เป็นคนมีฝีมือเชี่ยวชาญ เฉลียวฉลาด ทันโลกทันคน รวมทั้งสามารถหยุดตนเองไม่ให้ถลำลงสู่ความชั่วได้ และเมื่อกิเลสกำเริบ ก็ให้สามารถข่มใจตนเองได้ ไม่ทำอะไรที่ไม่สมควร นี้คือหนแห่งปัญญา
๓. มีความอดทน อดกลั้น ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าตนเหตุจะมาจากเหตุภายนอกหรือภายใน กล่าวคือสามารถทนต่อความลำบากตรากตรำจากสายลมและแสงแดด ทนร้อนทนหนาว ทนต่อความเหนื่อยเมื่อยล้า เจ็บปวด ทนต่อการกระทบกระทั่งเจ็บใจจากคนอื่นได้
แม้ในที่สุดทนต่อความยั่วเย้ายวนอารมณ์จากกิเลสในใจเราได้ใครที่ทนต่อสิ่ง เหล่านี้ได้ ย่อมเป็นคนแข็งแกร่ง บุคลิกสง่างาม ทำการงานใหญ่ให้สำเร็จได้ นี้เป็นหนทางของการได้ทรัพย์
๔. สามารถสละอารมณ์บูดเน่า สละความตระหนี่ออกจากใจได้ เป็นคนมีอารมณ์แจ่มใสเป็นปกติ มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นเป็นนิจ เป็นที่รักของมหาชน ผู้ที่ปฏิบัตืตนได้อย่างนี้ จะทำให้มีผู้อื่ช่วยเหลือกิจการของมหาชน ผู้ที่ปฏิบัติตนได้อย่างนี้ จะทำให้มีผู้อื่นช่วยเหลือกิจการ และคอยป้องกันเหตุเภทภัยต่างๆ ให้ นี้เป็นหนทางการได้มิตร
หากผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติตามหลัก ๔ ประการนี้ได้แล้วก็จะไม่สงสัยตัวเองอีกต่อไปว่าเกิดมาทำไมรู้แต่ว่าชีวิตมี ค่า คือทำประโยชน์ได้ และแม้จะไม่รู้ว่าเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตมนุษย์คืออะไรถึงเวลาก็จะบรรลุถึง เป้านั้นเอง เพราะได้เดินเข้ามาตามเส้นทางที่ถูกต้องนี้แล้วตามลำดับ
(หลวงพ่อทัตตะชีโว)
No comments:
Post a Comment